อำเภอแม่แจ่ม เป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ มี
หมู่บ้านอยู่ตามที่ราบและกระจัดกระจายอยู่ตามหุบเขาใหญ่น้อยที่ล้อมรอบเรียง
รายอยู่ มองจากที่สูงลงมาจะเหมือนแอ่งกระทะ มีลำน้ำไหลผ่าน
ท่ามกลางมวลพฤกษชาตินานาพันธุ์ที่ปรากฏอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ
ดินแดนแห่งนี้เดิมเป็นที่อาศัยของชนชาติลัวะ (ละว้า) ซึ่งครอบครองดินแดนแถบนี้ตลอดจนถึงบางส่วนของอาณาจักรล้านนาในอดีต ชนเผ่าลัวะมีความเจริญไม่แพ้พวกขอม-มอญ ซึ่ง
เป็นเจ้าของดินแดนแห่งนี้ร่วมกัน เพียงแต่แยกการปกครองออกเป็นหมู่เหล่า
เป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อพวกใด
ชนใดมีความเข้มแข็งก็ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองขึ้นปกครองกันเอง
มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และได้สร้างวัฒนธรรมของตนจนรุ่งเรือง
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น วัดวาอามราม จิตกรรมฝาผนัง
เครื่องปั้นดินเผา อาจ
จะเป็นเพราะในอดีตเมืองแจ๋มเป็นเส้นทางการค้าขายระหว่าง พม่า ไทย จีน
และอินเดียก็เป็นได้
เพราะสินค้าของทุกประเทศตกทอดมาสู่รุ่นลูกหลานซึ่งได้รับจากบรรพบุรุษที่
อยู่ในสมัยนั้นด้วย ต่อมาเมื่อมีกลุ่มคนไท-ยวน (ไต) เข้ามามากเข้า
อำนาจของลัวะจึงหมดไป
แต่ลัวะเริ่มเรืองอำนาจขึ้นมาใหม่อีกครั้งในยุคสมัยของพญามังรายซึ่งถือว่าเป็นเชื้อสายลัวะเหมือนกัน ตามหลัก
ฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น คิชฌกูฏ ในวิหารของวัดยางหลวง พระเจ้าตนหลวง
วัดกองกาน พระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์
ศิลปะตระกูลช่างเชียงแสนและตระกูลช่างสุโขทัยซึ่งมีอายุเกิน 500 ปีขึ้นไป
ดังนั้น เมืองแจ๋มก็น่าจะตั้งมาไม่ต่ำว่า 500 ปี ราว ๆ ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1800) สิงหนวัติกุมารได้พากลุ่มคนไท-ยวนอพยพมาจากยูนนานทางตอนใต้ของจีน ยึดอำนาจจากลัวะในสมัยปู่จ้าวลาวจก (ลวจัก
ราช) บรรพบุรุษของพญามังราย
แล้วสร้างเมืองใหม่ในพื้นที่ที่มีชนพื้นเมืองลัวะอาศัยอยู่ก่อน
แต่อาศัยการวางตนเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมสูงกว่าลัวะ
ต่อมาเมื่อกลุ่มคนไทเสื่อมอำนาจลง
ปู่จ้าวลาวจกจึงสถาปนาตนเองเป็นปฐมกษัตริย์
กลุ่มคนไทจึงกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง
ซึ่งตามประวัติของเมืองแจ๋มที่กล่าวไว้ว่าเริ่มมีคนไทเข้ามา
ก็คงจะในสมัยของสิงหนวัติกุมารนั่นเอง
เพราะประวัติของเมืองแจ๋มก็มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิงห์อยู่เหมือนกัน
แล้วถ้าเราลองมานับปีกันแล้ว ปีนี้ พ.ศ. 2545-1800 จะได้ประมาณ 745 ปี
ซึ่งก็ใกล้เคียงกับอายุของหลักฐานที่อยู่ตามวัดต่าง ๆ เช่น คิชฌกูฏ
ต่อมามีคนไทยพื้นที่ราบทั้งจากอำเภอจอมทองและอำเภอสันป่าตองเข้ามาหากินและตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ราบลุ่มน้ำแม่แจ่ม และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ. 2447 ตั้งชื่อว่า อำเภอช่างเคิ่ง (ปัจจุบัน ช่างเคิ่งเป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอแม่แจ่ม) ตั้งที่ว่าการอำเภอที่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลท่าผา มีนายชื่นดำรงตำแหน่งนายอำเภอ แต่ขณะนั้นราษฎรอดอยากขาดแคลนและไม่นิยมการปกครองที่มีการเก็บภาษีอากร ในที่สุดจึงมีราษฎรกลุ่มหนึ่งเข้าปล้นที่ว่าการอำเภอและทำร้ายนายอำเภอจน เสียชีวิต ทางราชการจึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปอาศัยที่วัดช่างเคิ่งเพื่อความปลอดภัย มีนายสนิทเป็นนายอำเภอจนกระทั่งปี พ.ศ. 2481 ทางราชการได้ลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอ และตั้งชื่อว่า กิ่งอำเภอแม่แจ่ม ขึ้นกับอำเภอจอมทอง และเมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้รับการยกฐานะเป็น อำเภอแม่แจ่ม และ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2552 ได้มีการแบ่งพื้นที่ของตำบลแจ่มหลวง ตำบลบ้านจันทร์ และ ตำบลแม่แดด ออกไปจัดตั้ง อำเภอกัลยาณิวัฒนา จึงทำให้อำเภอแม่แจ่ม มี 7 ตำบล จนถึงปัจจุบัน
คำขวัญ อำเภอแม่แจ่ม
เที่ยวบ่อน้ำแล่ ร่องแพน้ำแจ่ม พักแรมน้ำตก ผ้าตีนจกยอดน้ำมือ
ตัวอย่าง หลักกิโล บอกเส้นทางอำเภอแม่แจ่ม
ตัวอย่าง การร่องแพ ลำน้ำแจ่ม
ประวัติดั้งเดิมของ “อำเภอแม่แจ่ม” ไม่ มีผู้ใดทราบชัดเจนและไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันได้ เป็นแต่เรื่อง ตำนานเล่าสืบกันมาว่า แต่ก่อนมีสิงห์สองตัวเป็นพี่น้องกันหากินอยู่ในป่า ใหญ่เกิดแย่งอำนาจรุกล้ำเขตหากินพิพาทกันอยู่เนืองๆ จนกระทั่งพระปัจเจก พุทธเจ้ามาโปรดเวไนยสัตว์จึงได้แบ่งเขตหากิน โดยเอาลำห้วยแห่งหนึ่งเป็น เครื่องหมายแสดงเขตแดนลำห้วยขึ้น จึงเรียกสืบกันมาว่า “ห้วยช่างเคิ่ง” ซึ่ง หมายความว่า แบ่งครึ่งกันไว้ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่ดอนสะ กาน ราษฎรนำข้าวปลาอาหารไปถวาย แต่เนื่องจากราษฎรเหล่านี้ยากจนข้าวปลาอาหาร ที่นำไปถวายมีน้อยเพราะขาดแคลน จึงได้ขนานนามเมืองนี้ว่า “เมืองแจม” (แจ มแปลว่า อดอยาก ขาดแคลน) และเรียกลำน้ำใหญ่นี้ว่า “แม่แจ่ม” ต่อมาชาว บ้านเรียกเพี้ยนไปเป็น “เมืองแจ่ม” จนกระทั่งทุกวันนี้ แม่แจ่ม หลาย คนที่ที่ชอบอากาศบริสุทธิ์และความเป็นธรรมชาติวิถีชีวิตเรียบง่ายของผู้คน แนะนำให้ลองมาเที่ยว อยู่กับชาวบ้าน ที่อำเภอแม่แจ่ม สักครั้งแล้ว จะรู้ว่า แท้จริงในความเรียบง่าย ของผู้คนยังมีความงดงามแฝงเอาไว้และ นอกจากความเรียบง่าย ของคนเมืองแม่แจ่มแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ แห่งความงดงามอีกอย่างหนึ่ง คือ ท้องทุ่งนาขั้นบันได อัน เขียวขจีในฤดูฝน หากใครที่ยังไม่เคยเดินทางมาแม่แจ่มก็ควรจะหาเวลาดินทางเข้ามาศึกษา วัฒนธรรมประเพณีและการดำเนินชีวิตของชาวแม่แจ่ม ให้ได้สักครั้ง อำเภอแม่แจ่มหรือ "เมืองแจ๋ม" นั้นแต่เดิมเรียกกันว่า "เมืองแจม" มีเรื่องเล่าครั้งโบราณกาลว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหากัจจายนะได้จาริกผ่านมาทางยอดดอยอ่างกา (ดอยอินทนนท์) เช้าวันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ มีย่าลัวะเฒ่า (หญิงชราชาวลัวะ) คนหนึ่งนำปลาปิ้งเพียงครึ่งตัวมาใส่บาตรถวาย พระบรมศาสดาทอดพระเนตรด้วยความเมตตาและความสงสัย จึงตรัสถามย่าลัวะว่า "แล้วปลาอีกครึ่งตัวล่ะอยู่ไหน" ย่าลัวะทูลตอบว่า "เก็บไว้ให้หลาน" พระองค์จึงทรงรำพึงว่า "บ้านนี้เมืองนี้มันแจมแต๊นอ" (= เมืองนี้ช่างอดอยากจริงหนอ) ซึ่งต่อมาดินแดนนี้จึงได้ชื่อว่า "เมืองแจม" คำว่า "แจม" เป็นภาษาลัวะแปลว่า มีน้อย ไม่พอเพียง หรือขาดแคลน ต่อมาเมื่อกลุ่มคนไท-ยวน (ไต) มาอยู่ จึงเรียกชื่อตามสำเนียงไท-ยวนว่า "เมืองแจ๋ม" และเพี้ยนเป็นเมืองแจ่มหรือ "แม่แจ่ม" อันเป็นนามมงคล หมายถึงให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งความแจ่มใส ลบความหมายของคำว่า "แจม"
อำเภอแม่แจ่มได้ยกฐานะเป็นอำเภอครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2477 ตั้งชื่ออำเภอว่า “”อำเภอช่างเคิ่ง” ที ว่าการอำเภอตั้งอยู่ที่บ้านหมู่ที่ 4 ต.ท่าผา ในปัจจุบันนี้ โดยมี นาย ชื่น ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอคนแรก แต่ขณะนั้นราษฎรอดอยากขาดแคลน และไม่ นิยมการปกครอง ที่เก็บภาษีอากร จึงได้มีราษฎรกลุ่มหนึ่งเข้าปล้นที่ว่าการ อำเภอ นายอำเภอถูกฆ่าตาย ทางราชการจึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอ ไปอาศัยอยู่ ที่วัดช่างเคิ่ง โดยมีท้าวสุดสนิท เป็นนายอำเภอ และมีฐานะเป็นอำเภอ ต่อมาจน ถึง พ.ศ. 2481 ทางราชการได้ลดฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ตั้งชื่อว่า “กิ่งอำเภอแม่ แจ่ม” ขึ้นกับอำเภอจอมทอง และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภออีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2499
ตัวอย่าง บรรยากาศแบบธรรมชาติ ในอำเภอแม่แจ่ม
ต่อมามีคนไทยพื้นที่ราบทั้งจากอำเภอจอมทองและอำเภอสันป่าตองเข้ามาหากินและตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ราบลุ่มน้ำแม่แจ่ม และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ. 2447 ตั้งชื่อว่า อำเภอช่างเคิ่ง (ปัจจุบัน ช่างเคิ่งเป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอแม่แจ่ม) ตั้งที่ว่าการอำเภอที่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลท่าผา มีนายชื่นดำรงตำแหน่งนายอำเภอ แต่ขณะนั้นราษฎรอดอยากขาดแคลนและไม่นิยมการปกครองที่มีการเก็บภาษีอากร ในที่สุดจึงมีราษฎรกลุ่มหนึ่งเข้าปล้นที่ว่าการอำเภอและทำร้ายนายอำเภอจน เสียชีวิต ทางราชการจึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปอาศัยที่วัดช่างเคิ่งเพื่อความปลอดภัย มีนายสนิทเป็นนายอำเภอจนกระทั่งปี พ.ศ. 2481 ทางราชการได้ลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอ และตั้งชื่อว่า กิ่งอำเภอแม่แจ่ม ขึ้นกับอำเภอจอมทอง และเมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้รับการยกฐานะเป็น อำเภอแม่แจ่ม และ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2552 ได้มีการแบ่งพื้นที่ของตำบลแจ่มหลวง ตำบลบ้านจันทร์ และ ตำบลแม่แดด ออกไปจัดตั้ง อำเภอกัลยาณิวัฒนา จึงทำให้อำเภอแม่แจ่ม มี 7 ตำบล จนถึงปัจจุบัน
คำขวัญ อำเภอแม่แจ่ม
เที่ยวบ่อน้ำแล่ ร่องแพน้ำแจ่ม พักแรมน้ำตก ผ้าตีนจกยอดน้ำมือ
ตัวอย่าง หลักกิโล บอกเส้นทางอำเภอแม่แจ่ม
ตัวอย่าง การร่องแพ ลำน้ำแจ่ม
ประวัติดั้งเดิมของ “อำเภอแม่แจ่ม” ไม่ มีผู้ใดทราบชัดเจนและไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันได้ เป็นแต่เรื่อง ตำนานเล่าสืบกันมาว่า แต่ก่อนมีสิงห์สองตัวเป็นพี่น้องกันหากินอยู่ในป่า ใหญ่เกิดแย่งอำนาจรุกล้ำเขตหากินพิพาทกันอยู่เนืองๆ จนกระทั่งพระปัจเจก พุทธเจ้ามาโปรดเวไนยสัตว์จึงได้แบ่งเขตหากิน โดยเอาลำห้วยแห่งหนึ่งเป็น เครื่องหมายแสดงเขตแดนลำห้วยขึ้น จึงเรียกสืบกันมาว่า “ห้วยช่างเคิ่ง” ซึ่ง หมายความว่า แบ่งครึ่งกันไว้ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่ดอนสะ กาน ราษฎรนำข้าวปลาอาหารไปถวาย แต่เนื่องจากราษฎรเหล่านี้ยากจนข้าวปลาอาหาร ที่นำไปถวายมีน้อยเพราะขาดแคลน จึงได้ขนานนามเมืองนี้ว่า “เมืองแจม” (แจ มแปลว่า อดอยาก ขาดแคลน) และเรียกลำน้ำใหญ่นี้ว่า “แม่แจ่ม” ต่อมาชาว บ้านเรียกเพี้ยนไปเป็น “เมืองแจ่ม” จนกระทั่งทุกวันนี้ แม่แจ่ม หลาย คนที่ที่ชอบอากาศบริสุทธิ์และความเป็นธรรมชาติวิถีชีวิตเรียบง่ายของผู้คน แนะนำให้ลองมาเที่ยว อยู่กับชาวบ้าน ที่อำเภอแม่แจ่ม สักครั้งแล้ว จะรู้ว่า แท้จริงในความเรียบง่าย ของผู้คนยังมีความงดงามแฝงเอาไว้และ นอกจากความเรียบง่าย ของคนเมืองแม่แจ่มแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ แห่งความงดงามอีกอย่างหนึ่ง คือ ท้องทุ่งนาขั้นบันได อัน เขียวขจีในฤดูฝน หากใครที่ยังไม่เคยเดินทางมาแม่แจ่มก็ควรจะหาเวลาดินทางเข้ามาศึกษา วัฒนธรรมประเพณีและการดำเนินชีวิตของชาวแม่แจ่ม ให้ได้สักครั้ง อำเภอแม่แจ่มหรือ "เมืองแจ๋ม" นั้นแต่เดิมเรียกกันว่า "เมืองแจม" มีเรื่องเล่าครั้งโบราณกาลว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหากัจจายนะได้จาริกผ่านมาทางยอดดอยอ่างกา (ดอยอินทนนท์) เช้าวันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ มีย่าลัวะเฒ่า (หญิงชราชาวลัวะ) คนหนึ่งนำปลาปิ้งเพียงครึ่งตัวมาใส่บาตรถวาย พระบรมศาสดาทอดพระเนตรด้วยความเมตตาและความสงสัย จึงตรัสถามย่าลัวะว่า "แล้วปลาอีกครึ่งตัวล่ะอยู่ไหน" ย่าลัวะทูลตอบว่า "เก็บไว้ให้หลาน" พระองค์จึงทรงรำพึงว่า "บ้านนี้เมืองนี้มันแจมแต๊นอ" (= เมืองนี้ช่างอดอยากจริงหนอ) ซึ่งต่อมาดินแดนนี้จึงได้ชื่อว่า "เมืองแจม" คำว่า "แจม" เป็นภาษาลัวะแปลว่า มีน้อย ไม่พอเพียง หรือขาดแคลน ต่อมาเมื่อกลุ่มคนไท-ยวน (ไต) มาอยู่ จึงเรียกชื่อตามสำเนียงไท-ยวนว่า "เมืองแจ๋ม" และเพี้ยนเป็นเมืองแจ่มหรือ "แม่แจ่ม" อันเป็นนามมงคล หมายถึงให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งความแจ่มใส ลบความหมายของคำว่า "แจม"
อำเภอแม่แจ่มได้ยกฐานะเป็นอำเภอครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2477 ตั้งชื่ออำเภอว่า “”อำเภอช่างเคิ่ง” ที ว่าการอำเภอตั้งอยู่ที่บ้านหมู่ที่ 4 ต.ท่าผา ในปัจจุบันนี้ โดยมี นาย ชื่น ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอคนแรก แต่ขณะนั้นราษฎรอดอยากขาดแคลน และไม่ นิยมการปกครอง ที่เก็บภาษีอากร จึงได้มีราษฎรกลุ่มหนึ่งเข้าปล้นที่ว่าการ อำเภอ นายอำเภอถูกฆ่าตาย ทางราชการจึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอ ไปอาศัยอยู่ ที่วัดช่างเคิ่ง โดยมีท้าวสุดสนิท เป็นนายอำเภอ และมีฐานะเป็นอำเภอ ต่อมาจน ถึง พ.ศ. 2481 ทางราชการได้ลดฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ตั้งชื่อว่า “กิ่งอำเภอแม่ แจ่ม” ขึ้นกับอำเภอจอมทอง และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภออีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2499
ตัวอย่าง บรรยากาศแบบธรรมชาติ ในอำเภอแม่แจ่ม